วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Sponsorship ให้โลกติดตา

     ในเมื่อ Adidas ผลิตเสื้อผ้า รองเท้า อุปกรณ์ กีฬาต่างๆอยู่แล้ว ก็ไม่เสียหายที่จะเอาผลิตภัณฑ์ของตัวเองเป็นเครื่องมือสื่อสารไปถึงผู้บริโภคผ่านทาง รูปแบบให้การสนับสนุนไปยังสโมสร ทีมกีฬา หรือนักกีฬา โดยมอบเครื่องแต่งกาย ชุดทุกอย่างพร้อมให้หมด เพื่อที่นักกีฬาหรือทีมเหล่านั้นจะเป็นสื่อกลางที่จะนำพาผลิตภัณฑ์และแบรนด์ของ Adidas นั้น ไปอยู่ต่อหน้าผู้ชม แฟนกีฬามากมาย และในอีกทางหนึ่งก็เป็นการสร้างความมั่นใจถึงคุณภาพที่ขนาดนักกีฬามืออาชีพยังใช้ และนับภาษาอะไรกับผู้บริโภคคนธรรมดา

"Official Sponsorship for Chelsea FC."


    Adidas ให้การสนับสนุนหรือการเป็น Sponsorship เยอะๆมากๆ หลากหลายกีฬาไม่ว่าจะเป็นทีมบาสเก็ตบอล ทีมฟุตบอล และอีกมากมาย นับไม่ถ้วน แต่นอกจากตัวบุคคลหรือ ทีม Adidas ยังให้การสนับสนุนการแข่งขันกีฬาระดับโลกอีกด้วย ซึ่งเป็นที่น่าทึ่งที่ Adidas แทบจะกวาด การเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ให้กับรายการยักษ์ของโลกทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Olympic ทุกการแข่งขันของ FIFA และทุกรายการของ UEFA ซึ่งแค่นี้ก็ไม่ต้องพูดรายการอื่นๆอีกแล้ว เพราะสามสมาคมนี้ถือเป็นสมาคมที่มีจัดการแข่งกีฬาและ ฟุตบอล อย่างรายการฟุตบอลโลก และ UEFA Champion League ที่มีผู้ชมรับชมมากที่สุดในโลก

     รูปแบบ Sponsorship นั้นคุ้มค่าด้วยราคาที่ต้องลงทุนมากแต่ผลกำไรที่ตีกลับมามหาศาล และน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการขายอุปกรณ์กีฬา ก็เอาอุปกรณ์ไปให้เขาใช้สิ


เกร็ดความรู้น่าสน





    รางวัลรองเท้าทองคำของการแข่งขันฟุตบอลโลก จะใช้ต้นแบบของรองเท้าฟุตบอลรุ่นปัจจุบันของ Adidas อย่างเช่นในรูป ปี 2010 นำต้นแบบมาจากรุ่น Predator X ที่ซึ่งเป็นรุ่นหลักของ Adidas ในช่วงนั้น

Impossible is nothing แคมเปญที่สำเร็จเกินคาด

     "Impossible is nothing" ประโยคสวยหรูที่เป็นสโลแกนของ Adidas จนถึงทุกวันนี้ จริงๆแล้ว Adidas ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างขึ้นมาเป็นสโลแกนแต่อย่างใด กลุ่มคำนี้มาจากแคมเปญอันชาญฉลาดที่ถูกสร้างขึ้นโดย 180/TBWA เพื่อที่จะเพิ่มยอดขายที่สหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2003 ที่ซึ่ง Adidas ตามหลังคู่แข่งอย่าง Nike ,Reebok และ New Balance อยู่พอสมควร แต่ใครจะไปรู้ได้ว่าแคมเปญแก้ขัดอันนี้จะมาเป็นสิ่งที่เป็นจุดยืนของ Adidas ไปอีกนานเลยทีเดียว


     TVC ตัวแรกที่ออกมานั้นใช้เทคนิคผสมผสานอันแนบเนียนในการนำเอา Footage เก่ามาถ่ายทำเพิ่มให้เกิดภาพที่น่าเหลือเชื่ออย่างการที่ มูฮัมมัด อาลี ในช่วงอายุที่เขาอยู่จุดสูงสุดของอาชีพออกวิ่งไปตามถนนโดยมีนักกีฬารุ่นใหม่วิ่งตามมาเป็นกลุ่ม ยกตัวอย่างเช่น เดวิด เบคแฮม และ ซีนีดีน ซีดาน นักฟุตบอลระดับโลก โดยแก่นของเรื่องราวนี้ก้คือ อยากให้คนรุ่นใหม่ฟังเสียงจากใจของตัวเอง อย่าไปสนว่าใครจะว่า ใครจะวิจารณ์อย่างไร ขอแค่ให้มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ "Impossible is nothing"

      นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แคมเปญนี้เป็นที่รู้จักและก็มีการปล่อยงานโฆษณาออกมาอย่างมากมายหลังจากนั้น จนทำให้ยอดขายของ Adidas ในตอนนั้นสามารถมาถึงจุดที่ต้องการได้ หลังจากนั้นประโยคที่ว่า "Impossible is nothing" นั้นก็มาเป็นแก่นหลักของแคมเปญต่างๆของ Adidas และจะไม่ใช่แค่ในสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป แต่แคคมเปญนี้จะถูกใช้ไปทั่วโลก

      ประโยคนี้มีความมหัศจรรย์ที่มันมีความหมายที่เข้มข้นและหนักแน่นอยู่ในตัว แต่สามารถยืดหยุ่นเพิ่มอรรถรสได้ไปในหลายๆทาง เป็นรากในการสร้างประเด็นต่อไปได้อีกมาย มีแคมเปญหนึ่งที่ยึดหลัก Impossible is nothing มาแล้วถือว่าประสบความสำเร็จมากในคราวนั้นอย่าง แคมเปญ​ "+10" โดยเป็นแคมเปญสำหรับกีฬาฟุตบอล ความหมายง่ายๆเลยก็คือ ในกีฬาฟุตบอลต้องเล่นทั้งหมด 11 คน คุณคือตัวหลักที่จะสร้างทีมขึ้นมา เป็นแคมเปญเท่ห์ๆเล่นกับ insight ของเด็กผู้ชายได้อย่างสนุกสนาน และแน่นอน แคมเปญนี้อลังการไม่แพ้กับแคมเปญจากการที่ใช้ Presenter ระดับโลกมากมาย มากมายจริงๆโดย TVC ตัวแรกมีความน่ารักผสมความเท่ห์มากๆอยู่ ผมเล่าไปหมดจะไม่สนุกเอาต้องลองชม



     และนี่เองคือสเน่ห์ของโฆษณาของ Adidas ไม่ได้เจาะจงเน้นยำว่าสินค้ามีคุณภาพหรือเหนือกว่าใครยังไง แต่เน้นยำไปที่จิตใจและอารมณ์ร่วมของผู้ที่เล่นกีฬา ความรู้สึกนึกคิดที่เกินกว่าแค่คำว่าอุปกรณ์กีฬา



เกร็ดความรู้น่าสน
     ใน Print Ads ด้านบนนี้ "Jose+10" มีPresenter นักฟุตบอลระดับโลกถึง 36 คน และ 5 คนในนั้นเป็นระดับตำนานที่ตัดต่อภาพสมัยหนุ่มๆมาใส่ เช่น มิเชล พลาตินี่ แฟรงค์ เบรคเคนบาวเออร์


วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Adidas Originals  ต้นแบบแห่งสไตล์

  
   

         Adidas เป็นชื่อแบรนด์ที่ใช้ขายผลิตภัณฑ์กีฬาตั้งแต่หมวกแก๊ปไปยันเชือกผูกรองเท้า แต่เมื่อคุณไปตามห้างสรรพสินค้านอกจากร้านสีโทนดำๆหนักแน่นๆแบบนักกีฬา ก็จะมีร้านสีขาวสว่างโลโก้สีฟ้ามีไสตล์อย่าง Adidas Originals ซึ่งไม่ได้ขายสินค้าเพื่อการเล่นกีฬาแต่ขายพวก Casual clothing เช่น เสื้อยืด รองเท้าผ้าใบ หรือเสื้อหนาวเป็นต้น


         โลโก้ของ Originals ซึ่งเป็นใบไม้สามแฉกนั้นจากที่เคยเป็นโลโก้หลักของ Adidas ก็ถูกเปลี่ยนไปเมื่อปี 1997 เพื่อเน้นอุปกรณ์กีฬาด้วยโลโก้ 3-bars มาแทนที่ ส่วนโลโก้เก่าสุดคลาสสิคนี้ถูกนำมาเป็นโลโก้สำหรับ Casual sport wear ภายใต้ชื่อแบรนด์ Adidas Originals ซึ่งเน้นแฟชั่นต์ที่เป็น Old School Style ที่ดึงสไตล์มาจากช่วงยุุค 40's - 80's ดูได้ตามแบบศิลปินฮิพฮอพในตำนานซึ่งดังระเบิดในช่วงนั้นอย่าง RUN DMC ที่ก็สวมใส่เสื้อผ้าของ Adidas เสื้อหนาว กางเกงวอร์ม กับเสน๊กเกอร์ เป็นสไตล์สุดเท่ห์ที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้

"Adidas Originals Superstar Sneaker in RUN DMC Concert, 1968"

"RUN DMC with Adidas Clothing"
เกร็ดความรู้น่าสน
       ปัจจุบันมีการออกสินค้ารุ่นพิเศษ RUN DMC ออกมาทั้งเสื้อกันหนาว เสื้อยืด กางเกงวอร์ม รวมถึง เสน๊กเกอร์ระดับตำนานอย่าง Superstar

Adidas แบรนด์ดังจากการตีกันของสองพี่น้อง

   

     Adidas แบรนด์กีฬาชื่อก้องของโลกที่เราจะได้เห็นนักกีฬาชั้นนำของโลกรวมไปถึงนักกีฬาสมัครเล่นสวมใส่ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์สามแถบนี้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าจริงๆแล้ว ความสำเร็จของแบรนด์นี้ไม่ได้พึ่งเกิดขึ้น แต่เริ่มมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งแล้ว

    สองพี่น้องตระกูล Dassler นาย Adolf (Adi) กับ Rudolf (Rudi) ดูจากชื่อแล้วก็พอจะเดาได้ว่าพี่น้องคู่นี้เป็นชาวเยอรมันแน่นอน พวกเขาเริ่มผลิตรองเท้ากีฬาหลังจากกลับมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยมีนามธุรกิจว่า Dassler Schuhfabrik ( Dassler Brothers Shoe Factory) ซึ่งสามารถขายรองเท้าได้ 200,00 คู่ต่อปีเลยทีเดียว


   แต่แล้วสองพี่น้องก็แยกทางกันทางธุรกิจโดย (ทะเลาะกันแล้วไม่เคยคืนดี) ผู้น้องอย่าง Rudolf นั้นไปสร้างแบรนด์เสือกระโดดที่ยังคงโด่งดังอยู่ทุกวันนี้อย่าง "Puma" แล้วตอนนั้นเองที่ชื่อ "Adidas" ได้ถือกำเนิดขึ้น คำว่า "Adidas" ก็เกิดการผสมเข้ากันระหว่าง Adi กับ Dassler นี่แหละครับ และสัญลักษณ์สามแถบก็ถูกเพิ่มมาหนึ่งแถบจากที่มีแค่สองแถบ ในตอนเป็น Dassler Schuhfabrik

เกร็ดความรู้น่าสน
     สัญลักษณ์สามแถบจริงๆแล้ว Adidas ไม่ได้ออกแบบเอง แต่ไปซื้อมาจากแบรนด์จากฟินแลนด์ "
Karhu Sports" ตั้งแต่ราวๆปี ค.ศ. 1950